สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำการเลือกซื้อตู้น้ำให้ลูกค้าที่ยังไม่เคยซื้อหรือได้ลองใช้ตู้น้ำมาก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจกันในเบื้องต้นครับ
ขนาดถังและตู้
ลูกค้าควรวัดขนาดพื้นที่ให้เกินตัวสินค้าประมาณ 5 cm เพื่อให้ขยับและวางตำแหน่งได้ง่าย
ขนาดถังนั้นจะมี 100 - 200 ลิตร โดยการเลือกจะเน้นไปที่กลุ่มค้าในพื้นที่ว่ามีมากแค่ไหน หากพื้นที่มีคนไม่หนาแน่น ตู้ 100 ลิตร ถือว่าเพียงพอแล้ว หากเป็นที่คนเยอะ ชุมชนหนาแน่น ตู้ 200 ลิตร จะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า
ความเร็วในการผลิต
ร้านของเราจะมีความเร็วการผลิตเริ่มต้นที่ 1,000 ลิตร ต่อวัน จนถึง 1,700 ลิตร ต่อวัน ในการเลือกจุดนี้ลูกค้าต้องดูว่าความต้องการน้ำในพื้นที่ ที่จะลงทุนนั้น มีคนใช้งานมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปหากน้ำผลิตไม่เพียงพอบ่อยๆ เราสามารถอัปเกรดเพิ่มได้ในภายหลัง โดยจะมีค่าใช้จ่ายตามความเร็วที่ต้องการ
จำนวนขั้นตอนการกรอง
ขั้นตอนการกรองอาจดูไม่สำคัญมากเพราะเราปิดตู้เอาไว้ แต่หากเราใช้เป็นจุดเด่นให้เหนือคู่แข่งโดยการชูจุดเด่น ว่าตู้เรามีขั้นตอนกรองมากกว่า จะทำให้ลูกค้าสนใจที่จะใช้บริการตู้ของเรามากขึ้นด้วย ในการดูขั้นตอนนั้น ขั้นต่ำรวมแล้วไม่ควรน้อยกว่า 10 ขั้นตอน เพราะน้ำจะมีคุณภาพที่ดี ที่สุด
ชนิดของระบบน้ำ
ตู้น้ำร้านเราจะแบ่งเป็น 3 ระบบหลักๆ คือ RO, Ro แร่, RO แร่ UV โดยทั้ง 3 ระบบจะต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้ทั้งหมด ตู้ RO คือน้ำสะอาดที่ไม่มีการเจือปนใดๆ แต่ตู้แร่จะช่วยให้น้ำมีประโยชน์มากขึ้น UV จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งหมด ก่อนออกจากถังไปสู้ขวดลูกค้า ตอบโจทย์ช่วยโควิดระบาดแบบนี้มากๆ ครับ
ของที่ใช้ในตู้
ตู้น้ำจะมีของที่นำมาใส่ข้างในหลายแบบมากมาย ส่วนมากหลายเจ้าจะลดต้นทุนเพื่อให้ต้นทุนต่ำลง โดยการนำของไร้ประสิทธิภาพมาใส่ แต่ใช้งานได้ไม่นานก็เสียลง โดยของที่ร้านเราใช้เ็นของที่มีมาตรฐานจาก USA และมีประสิทธิภาพที่ดีเท่านั้น การใช้งานและการคืนทุนของลูกค้าจึงไม่น่าเป็นห่วง
วันนี้ก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยนะครับ ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ หลายๆ คนนำไปใช้ในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างรู้เท่าทัน และคุ้มค่าที่สุดนะครับ เจอกันบทความหน้าสวัสดีครับ
ปล. หากมีคำถามสามารถส่งมาได้ที่เพจ ไลน์ หรือโทรโดยตรงได้เลยครับ
LINE@: @KKCENTRE
PAGE: K.K. CENTRE ศูนย์รวมธุรกิจหยอดเหรียญ
TEL: 092-768-8108

Comments